โทนเนอร์ คืออะไร? เรามีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
เกี่ยวกับ “โทนเนอร์ (Toner)” มีหลายความเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องใช้โทนเนอร์กับใบหน้า บางคนก็บอกว่า “ไม่จำเป็น” แต่ก็มีอีกหลายคนบอกว่า “จำเป็นต้องใช้” เราจะมาพูดถึงความหมายของโทนเนอร์ที่เราได้รับข้อมูลมาจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและออกแบบและพัฒนาสกินแคร์ค่ะ
ปัจจุบันนี้ โทนเนอร์ ถูกพูดถึงและยกให้ความสำคัญ ต่อความจำเป็นในการนำมาใช้ในขั้นตอนหนึ่งของรูทีนการดูแลผิว เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับ โทนเนอร์ที่ใช้สำหรับผิวหน้ากันค่ะ
โทนเนอร์ Toner คืออะไร ?
โทนเนอร์ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังจากใช้คลีนซิ่ง และ คลีนเซอร์
คลีนซิ่ง (Cleansing) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อเช็ดหรือทำความสะอาดในขั้นตอนแรก เพื่อขจัดเอาสิ่งตกค้างที่ยึดเกาะชั้นผิวส่วนนอก เช่น ฝุ่น ควัน ความมันส่วนเกิน เครื่องสำอาง ครีมกันแดด เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ(ขี้ไคล) เพื่อทำความสะอาดก่อนใช้ คลีนเซอร์
คลีนเซอร์ (Cleanser) ซึ่งก็คือ ผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดผิว อาทิ โฟมล้างหน้า สบู่เหลว เจลล้างหน้า เป็นต้น
ในอดีต โทนเนอร์ ส่วนผสมที่เน้นไปทำหน้าที่ช่วยทำความสะอาด หรือ เช็ดความมันส่วนเกิน ในขั้นตอนหลังจาก ล้างทำความสะอาดด้วยคลีนเซอร์ เพราะในยุคสมัยก่อน ยังไม่มีนวัตกรรม คลีนซิ่งออกมา (แต่ก่อนอาจมีใช้น้ำมันนวดล้างเครื่องสำอางและไม่ได้ใช้อย่างแพร่หลาย)
ปัจจุบันนี้ นวัตกรรมสกินแคร์ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้นักออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ คิดค้นส่วนผสมปรับเปลี่ยนให้ “โทนเนอร์ Toner” ไม่ได้มีหน้าที่ทำความสะอาด แต่มีส่วนผสมด้านบำรุงผิว และปรับความสมดุลของผิวได้ด้วย
เรายังมีความเห็นอีกว่า โทนเนอร์ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด แต่เรายังสามารถใช้ประโยชน์ของโทนเนอร์ในด้านการเช็ค(ตรวจสอบผิว)หลังจากทำความสะอาดได้ หากพบว่าสำลีที่ใช้กับโทนเนอร์ ยังคงหลงเหลือคราบตกค้าง เราสามารถกลับไปล้างทำความสะอาดผิวหน้าซ้ำใหม่ได้อีกครั้ง แต่เราขอย้ำว่า “โทนเนอร์ไม่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทั้งคลีนซิ่งและคลีนเซอร์ ได้”
ข้อมูลจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
ทางทีมผู้เชี่ยวชาญของ SISTER NAN OFFICIAL มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับบทความตอนหนึ่งของแพทย์ผิวหนังและยังมีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอางจากนิวยอร์ก โดย Dr.S. SHAH, MD. ได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้ “โทนเนอร์สูตรใหม่มีความแตกต่างจากสูตรดั้งเดิม เพราะโทนเนอร์สูตรเดิม ช่วยขจัดคราบน้ำมันและเศษซากต่างๆ แต่โทนเนอร์รุ่นใหม่อาจมีหน้าที่ในการขจัดคราบสกปรกอยู่บ้าง แต่พวกมันมีไว้เพื่อบำรุงและเติมเต็มผิวหลังทำความสะอาดและทำหน้าที่เป็นไพรเมอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหลือของคุณ”
โทนเนอร์ทำอะไรได้บ้าง?
โทนเนอร์มีส่วนผสมมากมาย และถูกออกแบบสูตรมาเพื่อให้เหมาะกับแต่ละสภาพผิวและปัญหาผิว ดังนั้น เราสรุป หน้าที่ของโทนเนอร์ได้ ดังนี้
-
- ปรับสมดุลผิว ในด้านค่า pH ผิวหน้าหลังจากทำความสะอาด เพื่อเตรียมผิวในขั้นตอนการลงสกินแคร์ตัวถัดไป
- ขจัดสิ่งสกปรกตกค้าง ช่วยขจัดฝุ่น มลภาวะ และสิ่งสกปรกที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากล้างด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- ขจัดความมันส่วนเกิน ช่วยลดการอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว จึงเหมาะกับคนที่ผิวมัน และคนที่เป็นสิวง่าย
- ปรับโทนสีผิวและพื้นผิว ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ขจัดเศษซากของเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพหรือตายแล้วให้หลุดออกได้ง่ายขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และลดเกิดริ้วรอยได้
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ช่วยเสริมขั้นตอนการบำรุงเพื่อนำสารลงลึกสู่ผิวได้ง่าย ส่งผลให้ผิวตอบรับการบำรุงได้ดีขึ้น
- ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ผิวต้องการ หรือ ผิวยังขาดวิตามิน หากผิวยังขาดวิตามินที่จำเป็นอยู่ และได้ตรวจสอบสกินแคร์การบำรุงทุกขั้นตอนแล้วยังขาดสิ่งที่จำเป็นต่อผิว เราสามารถใช้ประโยชน์จากโทนเนอร์ช่วยได้บ้าง
- ตรวจสอบสิ่งตกค้าง รีเช็คผิว หรือคราบสิ่งตกค้าง เช่น คราบเครื่องสำอาง คราบครีมกันแดด หากสำลีหลงเหลือคราบตกค้าง สามารถล้างทำความสะอาดใหม่อีกครั้งได้
โทนเนอร์เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวหรือไม่?
ปัจจุบันถูกออกแบบให้มีความหลากหลายสูตร เพื่อตอบโจทย์กับทุกสภาพผิวและทุกปัญหาผิว ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ได้ง่ายมากขึ้นและเสริมการบำรุงผิวได้ดีมากขึ้น แนะนำแต่ละสภาพผิวไว้ ดังนี้
สำหรับผิวมัน เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และป้องกันการเกิดสิวใหม่ในอนาคตด้วยค่ะ
ผิวแห้ง เน้นเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกและอาจเพิ่มในส่วนผสมต่อต้านริ้วรอยร่วมด้วย เพราะผิวแห้ง มักมีปัญหาเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าสภาพผิวอื่นๆ
ผิวแพ้ง่าย หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่รบกวนผิว เช่น สารผลัดเซลล์ผิว สารปรับโทนสีผิว ส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอมสังเคราะห์ พาราเบน และสารที่มีความเข้นข้นสูง
ผิวแพ้สารสเตียรอยด์ ผิวแพ้ครีม ผิวมีผดผื่น ผิวมีอาการแดง และผิวมีสิวอักเสบเกิน 5 เม็ดขึ้นไป คำแนะนำจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง คือ ให้งดการใช้โทนเนอร์ไปก่อน เน้นรักษาอาการแพ้และเสริมชั้นผิวให้แข็งแรงก่อน จึงจะเริ่มใช้โทนเนอร์ได้ค่ะ
คำแนะนำ วิธีใช้และเลือกโทนเนอร์
เหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เราควรระมัดระวังในการใช้ค่ะ เพราะถูกออกแบบมาให้มีสูตรสำหรับแต่ละสภาพผิว และส่วนผสมที่แตกต่างกัน การที่เราจะเพิ่มโทนเนอร์ เป็นขั้นตอนหนึ่งในการดูแลผิว จึงต้องตรวจสอบส่วนผสม และวิธีใช้ รวมถึง ข้อบ่งชี้อื่นๆ ดังนี้
-
- ตรวจดูส่วนผสมบนฉลาก อาจเกิดความซ้ำซ้อนกับตัวบำรุงในสกินแคร์ตัวอื่นๆหรือไม่
- หลังใช้โทนเนอร์จะไม่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองผิวมากเกินไป
- เว้นหรือหลีกเลี่ยงการใช้บริเวณที่บอบบาง เช่น ใกล้ตาหรือร่องข้างปีกจมูก
- ระวังการใช้บ่อยจนเกินไป หรือ เกินความจำเป็นของผิว
- หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีแอลกอฮอล์รวมถึงส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำให้ผิวแห้ง
- เลือกใช้สูตรอ่อนโยนและตรงสภาพผิวของตัวเองเป็นหลักสำคัญ
- เน้น ปรับสมดุลผิว และให้ความชุ่มชื้นผิว หรือ เพิ่มสารต่อต้านริ้วรอยได้
- เริ่มใช้ ด้วยวิธีการหยดโทนเนอร์กับฝ่ามือ แล้วทาบริเวณแนวกราม หรือ หลังใบหู เป็นเวลา 1-3 ชม. หรือ ข้ามคืน เพื่อตรวจสอบอาการแพ้เบื้องต้นได้
- โทนเนอร์ใช้ได้ทั้งกับ สำลี หรือ ใช้กับฝ่ามือได้ (เป็นน้ำตบได้)
- โทนเนอร์บางประเภทอาจใช้ได้แค่ช่วงเวลาเดียว เช่น เฉพาะก่อนนอนเท่านั้น
ลำดับขั้นตอนใช้โทนเนอร์ คือ คลีนซิ่ง คลีนเซอร์ โทนเนอร์ เซรั่ม ครีมบำรุง ครีมกันแดด
โทนเนอร์จำเป็นต้องใช้หรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า โทนเนอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้เป็นขั้นตอนแรกหลังการทำความสะอาดที่ดีที่สุด เนื่องจากช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่หลงเหลือออกจากผิวและช่วยให้ผิวสดชื่นและเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลผิวในขั้นตอนถัดไป เช่น ครีม เซรั่ม หรือทรีตเมนต์ใดๆ ที่ใช้หลังจากโทนเนอร์จะช่วยให้การบำรุงซึมลึกและออกฤทธิ์กับผิวได้เต็มประสิทธิภาพ
แต่เราต้องคอยคำนึงถึงความสำคัญในหลากหลายส่วนของโทนเนอร์ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนผสม สภาพผิว และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เราจึงมีข้อสรุปได้ว่า
- โทนเนอร์ อาจไม่จำเป็น
- หากสภาพผิวไม่เหมาะสม เช่น ผิวแพ้ง่าย ผิวอ่อนแอ แพ้ครีม แพ้สารอันตราย
- ในชุดสกินแคร์ขั้นตอนบำรุงผิว หากมีตัวใดที่มีสารที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวทั้งหมดครบถ้วนแล้ว
- โทนเนอร์ จำเป็น
- ยังขาดสารบำรุงตามที่ผิวต้องการ เช่น วิตามิน
- ผิวที่มีปัญหาผลัดเซลล์ช้า เช่น ผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป เลือกใช้ส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดการเกิดริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ยังเสริมให้ขั้นตอนการบำรุงซึมสู่ผิวได้ดีขึ้น
- ผู้ที่มีสิวง่าย เลือกใช้ส่วนผสมในกลุ่ม BHA ที่มีความเข้มข้นไม่เกิน 2% และไม่ต่ำกว่า 1%
- ผู้มีปัญหาผิวแห้ง เลือกใช้ส่วนผสมเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เช่น Hyaluronic acid, Niacinamide, Ceramide เป็นต้น
- Andrija Kornhauser, et al.Applications of hydroxy acids: classification, mechanisms, and photoactivity,Clin Cosmet Investig Dermatol. 2010; 3: 135–142.doi: 10.2147/CCID.S9042.
- Eskandar Moghimipour, Hydroxy Acids, the Most Widely Used Anti-aging Agents,Jundishapur J Nat Pharm Prod. 2012 Winter; 7(1): 9–10.
- ERIN JAHNS, 9 Ingredients Skincare Experts Want You to Avoid If You Have Acne, Site : https://www.byrdie.com/acne-causing-ingredients-4845040.
- GARY GOLDENBERG, MD.,What Does Face Toner Do?